จับตา 10 เทคโนโลยี เปลี่ยนแปลงโลกอนาคต

 

สวทช. เผย 10 เทคโนโลยีที่คาดว่าจะเปลี่ยนแปลงโลกในอนาคต และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชนไทยอย่างยั่งยืน ในงานมหกรรม อว. แฟร์: SCI-POWER For Future Thailand

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.)  บรรยายพิเศษเรื่อง 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามอง (10 Technologies to Watch)  ในงานมหกรรมส่งเสริมการใช้ประโยชน์ อววน. เพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืนด้วยพลังสหวิทยาการ (อว. แฟร์: SCI-POWER For Future Thailand)  ว่าหากจะย้อนกลับไปดูคำทำนายของเราเพื่อการเปรียบเทียบในกรณีของการเปิดตัวของ generative AI ชื่อดังคือ Chat GPT ที่สร้างความฮือฮาและยังสร้างแรงกระเพื่อมจนถึงทุกวันนี้ ตั้งแต่เปิดให้คนทั่วไปใช้งานวันที่ 30 พฤศจิกายน 2022 จะเห็นได้ว่ากรณีนี้ถือเป็นเรื่องที่สุดขั้วทีเดียว เพราะ generative AI เป็น 1 ใน 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองที่เรา “ทำนาย” ไว้ในปีเดียวกันนั้นเอง

ย้อนกลับไปอีก 3 ปีก่อนหน้านั้น เราเล่าถึง AI ในหัวข้อเทคโนโลยีแบบ Future AI ว่า AI มีอยู่หลากหลายประเภทมาก ซึ่งก็รวมทั้ง generative AI ที่คนส่วนใหญ่ในตอนนั้นยังไม่รู้จัก แต่ในวงการก็จับตามองว่ากำลังมาแรงมาก และจะเปลี่ยนโลกไปหลายด้านในอนาคตอันใกล้

ย้อนกลับไปอีกเล็กน้อย เราก็พูดถึงเทคโนโลยีพื้นฐานที่จะทำให้เกิด generative AI ที่มีประสิทธิภาพดี ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีเกี่ยวกับ Big Data และ Deep Learning จะเห็นได้ว่ากว่าจะเกิด generative AI ที่ทรงพลังอย่าง Chat GPT และ AI ตัวอื่น ๆ ที่กำลังแข่งกันอยู่ในปัจจุบันอย่าง Gemini และ Claude ก็ต้องมีงานวิจัยพื้นฐานที่รองรับอย่างเข้มข้นมากพอ

สำหรับปีนี้ เทคโนโลยีหลายอย่างที่กำลังจะกล่าวถึงก็มี AI มาเกี่ยวข้องมากบ้าง น้อยบ้าง ในทางตรงบ้าง ในทางอ้อมบ้าง ดังจะได้เห็นกันต่อไป

ปีนี้เทคโนโลยีหลากหลายชนิดที่เกี่ยวข้องกับ AI มีบทบาทสำคัญในหลายด้าน ทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังจะได้เห็นกันต่อไปนี้:

1.กล้ามเนื้อเทียม (Artificial Muscle)

สังคมไทยกำลังเข้าสู่การเป็น “สังคมสูงอายุ” การมีอุปกรณ์เสริมเช่นกล้ามเนื้อเทียมเป็นสิ่งสำคัญเพื่อช่วยผู้สูงอายุในการเคลื่อนไหวและทรงตัวได้ดีขึ้น กล้ามเนื้อเทียมยังมีประโยชน์ในงานด้านการแพทย์และการกู้ภัย รวมถึงการสร้างหุ่นยนต์ประเภท soft robot ที่ใช้ในภารกิจต่าง ๆ ตลาดกล้ามเนื้อเทียมทั่วโลกมีมูลค่า 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะเติบโตเป็น 5,360 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2031

2.จุลชีพในลำไส้เพื่อดูแลสุขภาพ (Human Gut Microbes for Healthcare)

จุลินทรีย์ในลำไส้มีความสำคัญต่อสุขภาพ การใช้จุลินทรีย์ที่ผ่านการวิศวกรรมเพื่อเสริมสุขภาพและรักษาโรคเป็นแนวโน้มในอนาคต ผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์ที่อาจสร้างขึ้นโดยชีววิทยาสังเคราะห์สามารถตรวจสอบสารแปลกปลอมและตอบสนองอย่างจำเพาะเจาะจงต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยเฝ้าระวังและรักษาโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3.แฝดดิจิทัลในการดูแลสุขภาพ (Digital Twin in Healthcare)

การสร้างแฝดดิจิทัลของบุคคลช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคล ทำให้สามารถประเมินผลการรักษาล่วงหน้าและสร้างแผนการรักษาที่เหมาะสม บริษัทต่าง ๆ เช่น Twin Health, Q Bio และ Mesh Bio ได้นำเทคโนโลยีนี้มาใช้เพื่อดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคเรื้อรังอื่น ๆ และแม้ว่าเทคโนโลยีนี้ยังไม่ได้ใช้ในประเทศไทย แต่น่าจะมีการนำเข้ามาใช้งานในอนาคต

4.การพัฒนาซอฟต์แวร์แบบ AI เสริม (AI-Augmented Software Development)

AI มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาซอฟต์แวร์ ช่วยในการเขียนโค้ด แปลโค้ด และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของวิศวกรซอฟต์แวร์ ภายในปี 2028 วิศวกรซอฟต์แวร์ประมาณ 75% จะใช้ AI ในการทำงาน การใช้ AI ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ช่วยเพิ่มผลิตภาพ ลดต้นทุน และเร่งความเร็วในการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่

5.เทคโนโลยีอุปกรณ์สวมใส่ติด AI (AI Wearable Technology)

อุปกรณ์สวมใส่ที่มี AI เพิ่มขึ้นในตลาด เช่น สมาร์ตวอตช์ แว่นตาอัจฉริยะ และเสื้อผ้าอัจฉริยะ การใช้เซนเซอร์ไบโอเมทริกเพื่อเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ด้วย AI ช่วยให้ได้ข้อมูลเชิงลึกและคำแนะนำที่แม่นยำ อุปกรณ์สวมใส่ AI ในไทยมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วและมีแอปพลิเคชันที่ช่วยในการดูแลสุขภาพและการออกกำลังกาย

6.เทคโนโลยีคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Privacy-Enhancing Technologies: PETs)

การเก็บข้อมูลในคลาวด์และการใช้อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) มีบทบาทสำคัญในระบบอุตสาหกรรม 4.0 แต่มีความเสี่ยงจากการรั่วไหลของข้อมูล เช่น กรณีที่พนักงานบริษัทซัมซุงนำ source code ของบริษัทไปให้ ChatGPT รีวิวจนข้อมูลรั่วไหล หรือกรณีบริษัท MediSecure ในออสเตรเลียที่โดน ransomware โจมตี เทคโนโลยีคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Privacy-Enhancing Technologies: PETs) จึงมีความสำคัญมาก เพราะช่วยป้องกันข้อมูลรั่วไหลได้ดีขึ้น ด้วยการเข้ารหัสข้อมูลตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง

มีการนำ PETs มาใช้ในวงการการเงิน สุขภาพ และทรัพยากรบุคคล เช่น บริษัท EN|VIEL, Tripple-Blind และ Inpher ในสหรัฐอเมริกา และบริษัท RAVEL ในฝรั่งเศส สำหรับประเทศไทย เนคเทค สวทช. ได้พัฒนาเทคโนโลยี PETs ให้ใช้กับแพลตฟอร์ม IoT สำหรับภาคอุตสาหกรรม เช่น ในโรงงานธนากรผลิตน้ำมันพืช จำกัด (น้ำมันพืชกุ๊ก)

7.หุ่นยนต์รักษาความปลอดภัย (Security Robot)

การใช้หุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยมีคุณลักษณะเด่นหลายด้าน เช่น ทำงานต่อเนื่องได้ยาวนาน วิเคราะห์ภาพและพฤติกรรมได้ แจ้งเตือนเหตุการณ์ไม่ปลอดภัยได้แม่นยำ และทำงานในสภาวะแวดล้อมที่หลากหลาย ค่าใช้จ่ายในระยะยาวน้อยกว่าการจ้างฝ่ายรักษาความปลอดภัยที่เป็นมนุษย์ ปัจจุบันมีการใช้งานหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยในหลายประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา สิงคโปร์ และญี่ปุ่น

ตลาดหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยทั่วโลกอาจสูงถึง 71,800 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2027 โดยมีอัตราการเติบโตต่อปี 17.8% สวทช. มีองค์ความรู้ด้านหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ ระบบสื่อสาร และ AI ทำให้สามารถพัฒนาหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยได้ตรงตามความต้องการของผู้ใช้งานมากที่สุด

8.เทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่แบบโดยตรง (Direct Battery Recycling Technology)

การรีไซเคิลแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนด้วยเทคโนโลยีรีไซเคิลแบบโดยตรงไม่ใช้กระบวนการเผาด้วยความร้อนสูงหรือใช้สารละลายเคมี เทคโนโลยีนี้ลดการใช้พลังงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดการใช้โลหะหนัก การรีไซเคิลแบบนี้เหมาะกับแบตเตอรี่ที่ใช้ในยานยนต์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่ในระบบกักเก็บพลังงาน ส่งเสริมเศรษฐกิจแบบ BCG คาดว่าอุตสาหกรรมนี้จะเติบโตมากกว่า 20% โดยมี EBITDA margin มากกว่า 10%

9.ไฮโดรเจนเพื่อการขับเคลื่อน (H2 for Mobility)

พลังงานไฮโดรเจนมีศักยภาพเป็นพลังงานอนาคตได้ ประเทศไทยมีความพร้อมในเรื่องร่างกฎหมายเกี่ยวกับพลังงานไฮโดรเจน และมีศักยภาพในการผลิตไบโอไฮโดรเจนจากมูลสัตว์หรือชีวมวลซึ่งเป็นกรีนไฮโดรเจนแบบหนึ่ง การผลิตไฮโดรเจนจากก๊าซธรรมชาติที่เป็นบลูไฮโดรเจนร่วมกับกระบวนการ CCS จะช่วยลดคาร์บอนฟุตพรินต์ได้ นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีความเชี่ยวชาญในการขนส่งก๊าซ และมีโครงสร้างพื้นฐานรองรับ เมื่อปลายปีที่แล้ว PTT, OR, Toyota และ BIG ประกาศจะเปิดสถานีเติมไฮโดรเจนสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงแห่งแรกของประเทศไทย

10.ยุคถัดไปของการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ

การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศไทยมีมูลค่ามากกว่าแสนล้านบาทต่อปี แต่มีข้อเสียหลายประการ เทคโนโลยี RAS (Recirculating Aquaculture Systems) เป็นการเลี้ยงแบบใช้น้ำหมุนเวียน โดยมีการบำบัดของเสียออกจากน้ำและเติมออกซิเจนให้น้ำ ทำให้สามารถเลี้ยงสัตว์น้ำได้หนาแน่นในพื้นที่น้อย ลดความเสี่ยงจากโรคสัตว์น้ำ

สวทช. ได้พัฒนาระบบ RAS สำหรับกุ้งและปลากะพง ซึ่งเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทย ระบบที่พัฒนาขึ้นมีราคาถูกลง ทำให้คืนทุนได้เร็วและควบคุมระบบการเลี้ยงได้ง่ายขึ้น โดยใช้เทคโนโลยีการออกแบบและคำนวณทางวิศวกรรมขั้นสูง เทคโนโลยีระบบควบคุมแบบอัตโนมัติ และ IoT นอกจากนี้ยังมีแผนการพัฒนาระบบต่อโดยใช้เทคโนโลยี AI และการประมวลผลภาพในการติดตามและควบคุมการเลี้ยงในทุกขั้นตอน

แหล่งข้อมูล

https://www.thansettakij.com/technology/technology/602387