‘ดีอี’ ตั้งศูนย์มอนิเตอร์ภัยออนไลน์ ดันใช้ AI จับผิดคนร้ายเรียลไทม์


กระทรวงดีอีผนึกสตช.-ป.ป.ส. ตั้งศูนย์มอนิเตอร์ป้องภัยไซเบอร์ โฟกัสค้ายาออนไลน์ ชูเทคโนโลยี AI จับผิดคนร้าย ส่งต่อข้อมูล ปิดกั้นโซเชียล และขยายผลจับกุม

นายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมากระทรวงดีอีมีการทำงานร่วมกับตำรวจในการ ปิดกั้นโซเชียลมีเดีย ที่ดำเนินการผิดกฎหมายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในจำนวนนั้นมีเพจที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดด้วย แต่การค้าขายยาเสพติดในโลกออนไลน์ก็มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเจ้าของแพลตฟอร์มอาจไม่มีเจตนา เพราะไม่ได้เป็นการรับเงินจากการปล่อยให้มีโฆษณาเพจของตนเอง

อย่างไรก็ดี ต่อไปจะมีการทำงานที่เข้มข้นมากขึ้น เพราะจากกรณีที่มีข่าว ตำรวจบุกรวบ 2 อินฟลูเอนเซอร์หนุ่ม โพสต์ขายยาเสพติด ผ่านช่องทางออนไลน์ โดยอ้างว่า รับซื้อยาเสพติดออนไลน์จากบุคคลหนึ่ง เพื่อนำมาขายต่อ โดยตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ บก.ปอท. จับกุมตัวพร้อมของกลาง ซองบรรจุยาเสพติด ที่บ้านพักในกรุงเทพฯ หลังตำรวจตรวจพบบัญชี X โพสต์ขายยาเสพติดโดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย

ดังนั้น เพื่อให้การทำงานเกิดประสิทธิภาพยิ่งขึ้น กระทรวงดีอี จึงลงนามความร่วมมือกับ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ (สตช.) สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ในการปราบปรามการซื้อขายยาเสพติดผ่านช่องทางออนไลน์ โดยกระทรวงดีอี และ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ในการตั้งศูนย์มอนิเตอร์โซเชียลมีเดีย โดยใช้ทั้งกำลังคน และ เทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ AI ในการตรวจสอบเพื่อส่งต่อไปยัง สตช.และ ป.ป.ส.ในการขยายผลและดำเนินคดีต่อไป

ด้านพลตำรวจตรี อธิป พงษ์ศิวาภัย ผู้บังคับการ บก.ปอท. เปิดเผยว่า การค้าขายยาเสพติดผ่านช่องทางออนไลน์มีมานานแล้ว และกำลังเพิ่มขึ้น และซับซ้อนมากขึ้น จากการมอนิเตอร์การโพสต์ขาย 100 โพสต์ พบว่า 60-70% มีอายุในการโพสต์เพียง 1-2 วัน เพื่อเรียกยอดติดตาม อีก 20% พบว่าในจำนวนนี้ 15% เป็นการหลอกลวงขายยา รับเงินแล้ว แต่ไม่มีสินค้าจริง ผู้ถูกหลอกก็ไม่กล้าแจ้งความ เพราะเป็นสิ่งผิดกฎหมาย เหลือเพียง 5 % เท่านั้น ที่ตำรวจได้ล่อซื้อและพบว่ามีการขายยาเสพติดจริง

สำหรับศูนย์มอนิเตอร์ดังกล่าวจะตั้งอยู่บนชั้น 4 ของ บก.ปอท.เพื่อมอนิเตอร์สิ่งผิดกฎหมายทั้งหมด ส่วนหนึ่งจะส่งให้กระทรวงดีอีในการปิดกั้นโซเชียล มีเดีย และอีกส่วนหนึ่งจะส่งให้ตำรวจในการขยายผล และดำเนินคดีต่อไป

ขณะที่ พล.ต.ท. อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ความร่วมมือครั้งนี้ เป็นการยกระดับการทำงานร่วมกัน ให้มีความกระชับ ฉับไว แม้ว่าที่ผ่านมาจะเป็นการทำงานกันมาอย่างยาวนานแล้วก็ตาม แต่หลังจากที่ได้ลงนามร่วมกันจะเป็นการคิกออฟ ทำความสะอาดบ้านเมืองให้ดีขึ้น โดยผู้ที่มีความผิดในการค้ายาเสพติดออนไลน์

พล.ต.ท. ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด กล่าวเสริมว่า ต้องดูที่เจตนา หากปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ตามกฎหมายแล้ว ถือว่าไม่มีความผิด แต่หากหละหลวม ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนกฎหมายที่กำหนด เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด มีอำนาจสั่งพัก หรือ เพิกถอนใบอนุญาต 30 วัน

แหล่งข้อมูล

https://www.bangkokbiznews.com/tech/gadget/1167668